Table of Contents

การที่เว็บไซต์หรือสินค้าของคุณติดหน้าแรกใน Google ถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่เจ้าของธุรกิจทุกคนต้องการ เพราะนอกจากจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้แบรนด์ของคุณดูน่าเชื่อถือ ซึ่งจะส่งผลต่อการสร้าง Branding ในระยะยาวอีกด้วย ในปัจจุบันการลงโฆษณา Google Ads ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ใครหลายคนยอมจ่ายเพื่อให้ติดหน้าแรกได้เร็วยิ่งขึ้น ว่าแต่เครื่องมือชนิดนี้มีวิธีการใช้งานแบบไหนบ้าง ทำไมถึงต้องทำความเข้าใจกับเครื่องมือก่อนลงโฆษณา Google Ads ด้วย วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังครับ

Google Ads คืออะไร

Google Ads ย่อมาจาก Google AdWords หรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า Google AdWords Express เป็นเครื่องมือสำหรับทำโฆษณาออนไลน์บนเครือข่ายของ Google ซึ่งเป็นเว็บไซต์ค้นหายอดนิยมที่ใช้กันทั่วโลก โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ทั้งนี้พื้นที่ลงโฆษณา Google จะมีทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ 

  • Search Network เป็นพื้นที่โฆษณาบนหน้าผลลัพธ์การค้นหาบน Google ซึ่งจะให้ผลลัพธ์คล้ายคลึงกับ SEO เพียงแต่จะมีกรอบสี่เหลี่ยมที่มีตัวอักษร Ad อยู่ด้านใน วางไว้บริเวณด้านหน้าของคอนเทนต์
  • Display Network เป็นพื้นที่โฆษณาบนเว็บอื่นที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับเว็บไซต์ของคุณ หรืออิงตามหมวดหมู่ที่คุณกำหนดเอาไว้

Google ads manager จะช่วยให้คุณแสดงโฆษณาผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณไปยังกลุ่มเป้าหมายผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ  เช่น สมาร์ทโฟน, เดสก์ท็อป, แล็ปท็อป และแท็บเล็ต ซึ่งการทำโฆษณาแบบนี้จะช่วยคัดผู้ชมที่มีแนวโน้มว่าสนใจสินค้าของคุณ และคัดกรองผู้ชมที่ไม่สนใจออกไป นอกจากนี้คุณยังสามารถติดตามได้ว่าผู้ชมเหล่านั้นคลิกโฆษณาของคุณได้ด้วยว่าเข้ามาดูสินค้าเพียงอย่างเดียว หรือกดสั่งซื้อสินค้าไปแล้ว

ข้อดีของโฆษณา google ads ที่คุณควรรู้ ก่อนตัดสินใจใช้บริการ

1. สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายโฆษณาของคุณได้ชัดเจน

โดยผู้ที่เข้าถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณนั้นจะเป็นผู้ที่มีความสนใจเฉพาะด้านและเป็นผู้ที่สนใจในสินค้าของคุณเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้คุณได้ลูกค้าตรงตามเป้ามากยิ่งขึ้น โดยอาศัยหลักการเลือกเป้าหมายจาก 5 หลักการดังนี้

  • คำหลัก (Focus Keyword หรือ Main Keyword) โดยคำหรือวลีที่ใช้ในการแสดงโฆษณาจะต้องเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าค้นหาคำหลักหรือเข้าชมเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องแล้วเจอผลิตภัณฑ์ของคุณได้ง่ายขึ้น
  • อายุ เพศ และสถานที่ตั้ง คุณสามารถเลือกอายุ, เพศ, สถานที่ตั้ง และภาษาสำหรับลูกค้าของคุณ ทั้งนี้คุณควรทำการบ้านมาก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นเพศไหน, มี Lifestyle หรือแนวโน้มว่าจะใช้บริการผลิตภัณฑ์ของคุณมากน้อยแค่ไหน เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
  • วัน เวลา และความถี่ คุณสามารถเลือกวันและเวลาที่ต้องการแสดงโฆษณา รวมถึงกำหนดความถี่ในการแสดงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อีกด้วย
  • ตำแหน่งของโฆษณา การแสดงโฆษณาของคุณในหน้าผลการค้นหาของเว็บไซต์ Google และเว็บไซต์ที่เป็นเครือข่ายดิสเพลย์ จะช่วยดึงดูดเป้าหมายให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์ของคุณได้ดีทีเดียว
  • อุปกรณ์ คุณสามารถเลือกได้ว่าจะให้โฆษณาของคุณแสดงบนอุปกรณ์ประเภทใดและช่วงเวลาไหนบ้าง

2. ช่วยคุมงบค่าใช้จ่ายของคุณ 

เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำในการใช้บริการ คุณจึงสามารถเลือกได้ว่าจะจ่ายเงินจำนวนเท่าไหร่ อาจเลือกจ่ายในรูปแบบต่อวัน, ต่อเดือน หรือต่อโฆษณานั้น ๆ ก็ได้เช่นกัน ส่วนการจ่ายเงินนั้นคุณจะจ่ายก็ต่อเมื่อมีคนคลิกไปยังโฆษณาของคุณแล้วเท่านั้น

3. ช่วยให้วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น

หลังจากใช้บริการ Google Ads แล้ว คุณสามารถติดตามผลได้ทันทีที่มีคนคลิกไปยังโฆษณาของคุณ หากกลุ่มเป้าหมายของคุณคลิกเข้าชมผลิตภัณฑ์, ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน หรือสั่งซื้อสินค้าของคุณ หากกลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจและสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก แสดงว่าการทำ Google Ads ของคุณนั้นสัมฤทธิผล

แต่หากโฆษณาใดไม่มีคนคลิกเข้าชมเลย คุณก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าคุณควรจะลงทุนต่อหรือไม่ ควรเปลี่ยนไปลงแคมเปญที่ใดแทนถึงจะดีกว่า นอกจากนี้คุณยังจะได้รับข้อมูลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยสำหรับโฆษณา หรือแม้แต่ช่วงเวลาที่ลูกค้าใช้ในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของคุณ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจนิสัยและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการซื้อสินค้าของลูกค้าของคุณมากยิ่งขึ้น

4. ช่วยจัดการแคมเปญของคุณให้ง่ายยิ่งขึ้น

หากคุณมีบัญชี Google Ads หลายบัญชี ระบบจะมีเครื่องมือที่ชื่อว่า “บัญชีผู้จัดการศูนย์ลูกค้าของฉัน (MCC)” ที่จะช่วยให้คุณจัดการบัญชี Google Ads ทั้งหมดได้จากที่เดียว แต่หากเกิดปัญหาอินเตอร์หลุดขึ้นมา คุณก็สามารถจัดการบัญชีแบบออฟไลน์ได้ด้วยแอปพลิเคชัน Google Ads Editor ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับแก้ไขบัญชีได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น เพียงแค่ดาวน์โหลดข้อมูลบัญชีและแก้ไขแคมเปญแบบออฟไลน์ จากนั้นอัปโหลดการเปลี่ยนแปลงไปยัง Google Ads นอกจากนี้ยังสามารถคัดลอกหรือย้ายรายการระหว่างกลุ่มโฆษณาและแคมเปญ รวมทั้งทำรายการซ้ำหรือยกเลิกการเปลี่ยนแปลงหลายรายการขณะแก้ไขแคมเปญได้อีกด้วย

5. ช่วยให้คุณสามารถติดหน้า 1 ในอันดับที่ต้องการได้ทันที 

โดยปกติแล้วการติดอันดับแรกๆ นั้น ส่วนใหญ่มักจะเลือกการทำ SEO หรือ Search engine optimization เพื่อไต่อันดับแรงค์ 100 อันดับใน Google แต่ว่าการทำ SEO นั้นมักจะใช้เวลานานประมาณ 6 เดือน – 1 ปีขึ้นไป ต้องปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสม ทำคอนเทนต์สม่ำเสมอเท่านั้น ถึงจะสามารถติดอันดับต้นๆ ได้ แต่ในกรณีที่คุณต้องการความรวดเร็ว สามารถใช้วิธีการซื้อคำโฆษณาแล้วยิงแอด ภายใน 24 ชั่วโมง ธุรกิจของคุณก็สามารถติดอันดับต้นๆ ได้แล้ว  

Google Ads มีกี่ประเภท อะไรบ้าง

1. Google Search

เป็นเครื่องมือค้นหายอดนิยมที่คุณสามารถกำหนดและซื้อ Keyword ที่ต้องการ เวลาที่มีคนค้นหาคำที่คุณซื้อไปในเว็บไซต์ Google โฆษณาของคุณจะปรากฏอยู่บนหน้าแรกของการค้นหาทันที ซึ่งโฆษณารูปแบบจะช่วยให้ปิดการขายได้ง่าย ทั้งนี้คุณควรวิเคราะห์และเลือกคีย์เวิร์ดให้ดี ซึ่งจะช่วยให้คุณปิดการขายได้ง่ายยิ่งขึ้น

2. Google Display Network (GDN)

หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันในชื่อ Banner เป็นการแสดงโฆษณาบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับเว็บไซต์ Google ข้อดีของการทำโฆษณาประเภทนี้คือสามารถทำโฆษณาได้ทั้งในรูปแบบของรูปภาพและตัวหนังสือ (Text Ads) โดย Google จะส่งแบนเนอร์ไปยังเว็บไซต์ที่พาร์ทเนอร์และมีหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์สินค้าหรือบริการของเรา 

ยกตัวอย่างเช่น  เว็บไซต์พาร์ทเนอร์ของ Google ได้แก่, Kapook, Sanook, Matichon ซึ่งจะแสดงผลลงในเว็บไซต์ Youtube อีกด้วย การทำโฆษณาประเภทนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คนเห็นโฆษณามากยิ่งขึ้น เนื่องจากเว็บไซต์เหล่านี้เป็นเว็บไซต์ที่มีคนเข้าบ่อยและมีจำนวนมาก จึงเป็นการลงโฆษณา Google Ads ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน

M Creation แนะนำ

นอกจากบทความแล้วทาง M Creation ของเรายังมีบริการ รับทำ TikTok Ads, Google Ads และ Linkedin Ads ให้ท่านที่สนใจได้ใช้บริการอีกด้วย

3. Google Shopping Ads

Google Shopping Ads เป็นการโฆษณาในรูปแบบการ์ดรายการสินค้า ประกอบไปด้วยชื่อสินค้า, รูปภาพสินค้า, ราคา และลิงก์เว็บไซต์ของคุณสำหรับใช้ปิดการขาย ช่วยให้ผู้ชมสามารถเลือกชมหรือสั่งซื้อสินค้าได้ทันทีที่มีคนค้นหา keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ 

การโฆษณาประเภทนี้เหมาะสำหรับธุรกิจร้านค้าออนไลน์ที่เน้นการสั่งซื้อสินค้าแบบออนไลน์เพียงอย่างเดียวและเหมาะสำหรับร้านค้าที่มีสินค้าขายปลีก ส่วนข้อได้เปรียบของการโฆษณาประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องมานั่งเลือกคีย์เวิร์ดเหมือน Google Search เพราะเว็บไซต์ Google จะเก็บข้อมูลในหน้าสินค้าเพื่อนำไปประมวลผลเองว่า ผู้ชมมีแนวโน้มว่าจะเสิร์ชคำว่าอะไรที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณมากที่สุด โดยส่วนใหญ่คนที่ค้นหาสินค้าโดยเจาะไปถึงชื่อหรือรุ่นของสินค้า โดย Google Shopping Ads จะแสดงสินค้าพร้อมราคาให้เห็นทันที ช่วยให้ผู้ที่ค้นหาตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วยิ่งขึ้น

ทั้งนี้คุณจะต้องเชื่อมโยงบัญชีกับเครื่องมือ Google Merchant Center เพื่ออัปโหลดข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไปยัง Google ก่อนเริ่มทำโฆษณา Google Shopping Ads 

4. Video Ads บน Youtube

เป็นการโฆษณา google ในรูปแบบวิดีโอ โดยแสดงสินค้าของคุณในขณะที่ผู้ชมกำลังรับชมวิดีโอบนเว็บไซต์ YouTube ซึ่งการโฆษณาแบบนี้จะแสดงขึ้นมาในช่วงตั้งแต่ต้นคลิป, ระหว่างคลิป หรือแม้แต่ท้ายคลิปก็ตาม ทั้งนี้ YouTuber ที่ทำคลิปวิดีโอลง YouTube จะได้ส่วนแบ่งจากค่าโฆษณาเหล่านี้ด้วย

5. Universal Apps Install

เป็นการโฆษณาที่แสดงผลทั้งบนหน้าของ Google Search, บน Banner ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เป็นพันธมิตรกับ Google และ Youtube รวมถึงแสดงในหน้าค้นหาของแอปพลิเคชัน Apple Store และ Play Store หรืออาจแสดงขึ้นมาระหว่างใช้งานแอปพลิเคชันอื่น ๆ 

สรุป Google ads ดีไหม

Google Ads เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการยิงโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าได้อย่างแม่นยำ แต่แม้ว่าจะเป็นพื้นที่โฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูง แต่อย่าลืมนะครับว่าทุกธุรกิจจะต้องมีคู่แข่งเสมอ ดังนั้นการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Google Ads และวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุดจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยไม่ให้งบจมไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังช่วยให้ปิดการขายได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย

FAQ คำถามที่พบบ่อย

วิธีตั้งค่าวิธีการแสดงโฆษณาสำหรับแคมเปญจะมีการแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบดังนี้

วิธีตั้งค่าวิธีการแสดงโฆษณาสำหรับแคมเปญเดี่ยว

  1. ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google Ads
  2. เข้าเมนูหน้าเว็บทางซ้าย ให้คลิกที่แคมเปญ
  3. คลิกแคมเปญที่ต้องการตั้งค่าวิธีการแสดงโฆษณา 
  4. ในเมนูหน้าเว็บทางด้านซ้าย ให้คลิกการตั้งค่า 
  5. คลิกเพื่อเปิดหน้าต่างงบประมาณรายวัน จากนั้นคลิกวิธีการแสดงโฆษณา 
  6. เลือกแบบมาตรฐานหรือแบบเร่ง 
  7. คลิกบันทึก 

วิธีตั้งค่าวิธีการแสดงโฆษณาสำหรับแคมเปญหลายรายการพร้อมกัน

  1. ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google Ads 
  2. ในเมนูหน้าเว็บทางซ้าย ให้คลิกแคมเปญ
  3. คลิกการตั้งค่า
  4. คลิกที่ช่องถัดจากแคมเปญที่ต้องการตั้งค่าวิธีการแสดงโฆษณา 
  5. คลิกแก้ไขตรงมุมซ้ายบนเหนือแคมเปญ แล้วเลือก “เปลี่ยนวิธีการแสดงโฆษณา” 
  6. เลือกแบบมาตรฐานหรือแบบเร่ง 
  7. คลิกดูตัวอย่างเพื่อดูว่าวิธีการแสดงโฆษณาของแคมเปญจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร (แนะนำ)
  8. คลิกใช้งาน

Google ads เป็นบริการที่สามารถใช้งานได้ฟรี แต่ต้องเสียค่างบโฆษณา โดยผู้ใช้งานสามารถกำหนด Google ads ค่าใช้จ่ายได้ตามที่ที่ต้องการ แล้ว Google จะแสดงผลตามงบและจำนวนวันที่คุณกำหนดไว้  เช่น สมมติว่าคุณตั้งงบสำหรับโฆษณาไว้ที่ 30 วัน งบสำหรับโฆษณาคือ 30,000 บาท ระบบก็จะเฉลี่ยงบประมาณให้เพียงพอต่องบสำหรับโฆษณาที่ตั้งไว้จนครบ 30 วัน

ในกรณีที่คุณถูกการเรียกเก็บเงินนั้นมาจาก Google Ads โดยที่ไม่ได้เปิดใช้งานยิงโฆษณา สามารถติดต่อซัพพอร์ทของ Google ที่นี่ จากนั้นแนบภาพสแกนหรือภาพหน้าจอของใบแจ้งยอดธนาคารหรือบัตรเครดิตเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หากโชคดีอาจจะได้เงินคืน

Share :

Facebook